ผ้ากาบบัวโบราณ

  •  "ผ้ากาบบัว" ได้มีการประกาศให้ เป็นลายผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2543 โดยคณะทำงานพิจารณาลายผ้าพื้นเมือง ตามโครงการสืบสานผ้าไทย สายใยเมืองอุบลฯ ได้ร่วมพิจารณาศึกษาประวัติความเป็นมาของลายผ้าในอดีต ที่ทรงคุณค่ามาปรับปรุง ออกแบบสร้างสรรค์ลายผ้า เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้คัดเลือกให้ชื่อว่า "ผ้ากาบบัว" เป็นลายผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี มีคุณลักษณะดังนี้
            สีผ้ากาบบัว เป็นสีของกาบบัว หรือกลีบบัว ซึ่งไล่จาก สีอ่อนไปแก่ จากขาว ชมพู เทา เขียว น้ำตาล ซึ่งผ้ากาบบัวมีความหมายและเหมาะสมสอดคล้องกับชื่อของจังหวัดอุบลราชธานี
            ผ้ากาบบัว อาจทอด้วยฝ้ายหรือไหม ประกอบด้วยเส้นยืน ย้อมอย่างน้อยสองสี เป็นริ้วตามลักษณะ "ซิ่นทิว" นอกจากนี้ ยังทอพุ่งด้วยไหมสีมับไม (ไหมปั่นเกลียวหางกระรอก) มัดหมี่และขิด
            จากบทนิยาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนตามประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ฉบับที่ 1547(พ.ศ. 2552) ได้ให้ความหมายกำหนดลักษณะเฉพาะของผ้ากาบบัว เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ผ้ากาบบัว (ธรรมดา) ผ้ากาบบัว (จก) และผ้ากาบบัว (คำ)
            ผ้ากาบบัว (ธรรมดา) หมายถึงผ้าทอที่ใช้เส้นด้ายยืนอย่างน้อย 2สี ทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่นทิว และใช้เส้นด้ายพุ่งทอเป็นลาย คั่นด้วยหางกระรอก(ควบเส้น) มัดหมี่ และขิด
            ผ้ากาบบัว (จก) หมายถึงผ้าทอที่ใช้เส้นด้ายยืนอย่างน้อย 2สี ทอเป็นพื้นลายริ้วตามลักษณะซิ่นทิว และเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษ โดยการจกเป็นลวดลาย กระจุกดาว หรือเกาะลายดาว ซึ่งอาจมีเป็นช่วงกลุ่มหรือกระจายทั่วทั้งผืนผ้า
            ผ้ากาบบัว (คำ) หมายถึงผ้าทอที่มีหรือไม่มีลายริ้วก็ได้ เป็นผ้ายกหรือผ้าขิดที่ใช้เส้นด้ายพุ่งเพิ่มพิเศษ คือดิ้นทอง อาจสอดแทรกด้วยดิ้นเงินหรือไหม สีต่างๆไปตามลวดลายบนลายพื้น และคั่นด้วยมัดหมี่

    ผ้ากาบบัว (ธรรมดา)                                                ผ้ากาบบัว (จก)                                                ผ้ากาบบัว (คำ)        

    ลวดลายและกรรมวิธีการทอ

           ผ้ากาบบัวเป็นผ้าที่มีลักษณะรวมเอาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของผ้าพื้นเมืองอุบลมารวมไว้หลายชนิดได้แก่ ลักษณะของซิ่นทิว มับไม มัดหมี่ ผ้าขิดหรือจก
           ซิ่นทิว ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นยืนหรือริ้วหรือทิว 2 สีตามลักษณะของซิ่นทิวดั้งเดิมซึ่งเป็นที่นิยมของสตรีเมืองอุบลอย่างแพร่หลายมาก่อน
           มับไม ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นพุ่งมับไมซึ่งเกิดจากการเข็นคือปั่นเกลียวเส้นพุ่ง 2 เส้นเข้าด้วยกัน การเข็นมับไมนี้พบในผ้าที่เรียกว่า ผ้าไหมควบหรือผ้าไหมหางกระรอกหรือผ้าวา และซิ่นเข็น
           มัดหมี่ ผ้ากาบบัวจะสวยงามมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับลวดลายหมี่เป็นองค์ประกอบหลัก ลายหมี่ในผ้ากาบบัวทั้งลายดั้งเดิมและลายประยุกต์ขึ้นใหม่
           ขิด ผ้ากาบบัวต้องมีเส้นพุ่งที่เป็นเส้นใหญ่หรือเส้นนูนขึ้นจากเนื้อผ้าเป็นการเลียนแบบเส้นลายของกลีบบัวซึ่งใช้วิธีขิด
           จก การจกเป็นการตกแต่งให้ผ้ากาบบัวมีความวิจิตรงดงามยิ่งขึ้น เป็นวิธีที่ยากและเสียเวลามากขึ้น ผ้ากาบบัวจึงอาจจะมีจกหรือไม่มีก็ได้ โดยเจตนาของผู้คิดผ้ากาบบัว มุ่งที่จะคงลักษณะผ้าซิ่นหัวจกดาวของสตรีชั้นสูงของเมืองอุบลเอาไว้

           กรรมวิธีการทอเริ่มจาก การเตรียมเส้นยืนหรือการค้นเครือหูก จะเตรียมเส้นยืนให้เป็นเส้นไหม 2 สี สลับกัน ซึ่งคือลักษณะของซิ่นทิว ส่วนเส้นพุ่ง ประกอบด้วยเส้นไหม 4 ชนิด คือ เส้นไหมสีพื้น เส้นไหมมับไม ( เส้นที่ปั่นเกลียวเส้นไหม 2 สีเข้าด้วยกัน ) เส้นไหมสำหรับขิด (โดยนำเส้นไหมมาควบกัน 2 เส้นเพื่อให้เส้นไหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ) เส้นไหมหมี่ (เส้นไหมที่นำมามัดย้อมเป็นลวดลายเรียบร้อยแล้ว) เมื่อเตรียมเส้นไหมพุ่งทั้ง 4 ชนิด เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปทอในหูกที่ค้นเครือไว้ โดยในการทอผู้ทอจะต้องจดจำรายละเอียด และลำดับของการสอดเส้นไหมพุ่งและการเก็บขิดตามลวดลายที่วางไว้

    การผูกหูกขึ้นเส้นยืน
Cr. ศูนย์สารสนเทศหม่อนไหมและประชาสัมพันธ์ กรมหม่อนไหม